คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
สงคราม สามารถทำลายล้างทุกสิ่งอย่างได้ภายในพริบตาเดียว และยังส่งผลกระทบราวกับคลื่นทะเล
เป็นระรอกและกินพื้นที่กว้างขวาง สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยนั้น
ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามเช่นกัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ปี พ.ศ. 2488 สงครามมหาเอเชียบูรพาได้ยุติลง เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในไทยที่มีความซบเซาลงเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อสงครามได้สิ้นสุดลงก็เป็นที่คึกคักอีกครั้งหนึ่ง จากการที่ได้ศึกษาแหล่งข้อมูลประเภทหนังสือ
ตำรา ทราบว่า ในช่วง พ.ศ. 2490 มีบริษัทตัวแทนจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในกรุงเทพเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
ซึ่งถือว่าความเจริญรุ่งเรืองของช่วงนี้ ทำให้ในทศวรรษต่อมาถูกเรียกว่า เป็นยุคแห่งความเฟื่องฟูของวงการภาพยนตร์ไทย
นับได้ว่าวิกฤติที่ได้เจอกันมาอย่างหนักหน่วงนั้น
เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังประโยชน์แก่อุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม
ในมุมมองของนักภาพยนตร์ศึกษา จะสังเกตเห็นผลจากความเจริญรุ่งเรื่องนี้ เพราะทำให้เห็นกลุ่มผู้ชมภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจน
กล่าวคือ ภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ศิลปะ
จะได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชมภาพยนตร์ในกรุงเทพ แต่ในกลุ่มผู้ชมต่างจังหวัด
จะนิยมเลือกชมภาพยนตร์ที่ให้ความบันเทิง และเข้าใจง่ายมากกว่า ดังนั้น
จึงต้องการย้อนเล่าประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการเลือกชมภาพยนตร์ของคนไทยด้วย
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในกรุงเทพฯ
ในช่วงนี้
เกิดกิจการในวงการภาพยนตร์อยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ กิจการโรงภาพยนตร์ อันเป็นพื้นที่ฉายภาพยนตร์แก่ผู้ชม
และกิจการค้าภาพยนตร์ ที่ซื้อภาพยนตร์มาป้อนสู่โรงภาพยนตร์ บริษัท สหศีนีมา จำกัด
ถือเป็นบริษัทที่มีอิทธิพลที่สุดในช่วงหลังเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พร้อมกับการก่อตั้ง “ศาลาเฉลิมกรุง” ในวโรกาสเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ
150 ปี ต่อมาก็ได้มีการรวมกันกับ บริษัท ควีนส์ และบริษัท
ภาพยนตร์พัฒนากร จึงทำให้มีอิทธิพลทางธุรกิจมากขึ้น
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง กิจการฉายภาพยนตร์จึงเป็นบริษัทการค้าภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่ซื้อภาพยนตร์เข้ามาขาย
และเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์อีกด้วย สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ
ก็ต้องจัดซื้อกับตัวแทนจำหน่ายจากต่างประเทศ เนื่องจากในสมัยนั้น
ยังไม่มีตัวแทนจำหน่ายเข้ามาในประเทศไทย
ทว่า
นับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 สงครามได้นำพาความเสียหายในหลายทางแก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์
อาทิเช่น เมื่อประเทศไทยจับมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้บริษัทการค้าภาพยนตร์
ไม่สามารถจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉายได้
เมื่อภาพยนตร์ของตะวันตกไม่สามารถนำมาฉายได้ในประเทศ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ญี่ปุ่น
จึงได้เข้ามามีอำนาจมากขึ้นในเอเชียบูรพา เพื่อหวังนำภาพยนตร์เป็นสื่อทางวัฒนธรรม
จึงมีการสร้างบริษัทจำหน่ายภาพยนตร์ญี่ปุ่น สาขากรุงเทพฯ เกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน
พ.ศ. 2485
เน้นฉายภาพยนตร์ประเภทบันเทิงและข่าวสารเหตุการณ์ โดยเน้นฉายแก่ทหารญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ในประเทศไทย
ก่อนจะออกฉายให้ผู้ชมทั่วไปได้เข้าชม
ต่อมาในปี
พ.ศ. 2490 ได้มีการก่อตั้งตัวแทนจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในกรุงเทพฯ
เช่น อเมริกา รัสเซีย อังกฤษ และภาพยนตร์เอเชียจากจีน มาเลเซีย เป็นต้น
ทำให้เกิดความหลากหลายทั้งวัฒนธรรมและการเลือกชมภาพยนตร์เป็นอย่างมาก
ถึงแม้จะเป็นการเปิดกว้างทางการเลือกชม
แต่ก็อยู่บนขีดจำกัดของการแข่งขันทางธุรกิจเช่นกัน ซึ่งความสัมพันธ์ของโรงภาพยนตร์กับตัวแทนจำหน่าย
จะต้องเป็นไปตามลักษณะของโรงภาพยนตร์ทำการซื้อขายกับสตูดิโอค่ายใดค่ายหนึ่ง
จึงเกิดการผูกขาดการฉายเฉพาะกับสตูดิโอใด สตูดิโอหนึ่งเท่านั้น
สามารถทำให้โรงภาพยนตร์สร้างลักษณะเด่นของตนได้
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น